6 เดือน ทำเงิน 200 ล้าน! พลิกวิกฤต ทำธุรกิจเสริม เริ่มต้นจากการแจกฟรี สู่แบรนด์ระดับพรีเมียม

6 เดือน ทำเงิน 200 ล้าน! พลิกวิกฤต ทำธุรกิจเสริม เริ่มต้นจากการแจกฟรี สู่แบรนด์ระดับพรีเมียม

เนื่องด้วยปัญหาเศรษฐกิจมากมายที่ทำให้อาชีพเดียวไม่เพียงพอแล้ว ทำให้ใครหลายๆ คนอาจจะอยากเริ่มต้นทำธุรกิจเสริม เพื่อสร้างโอกาสทางการเงินให้ตนเองมากขึ้น

วันนี้ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ นำเรื่องราวของคุณ Cynthia Sakai มานำเสนอ โดยเธอเริ่มทำอาชีพเสริมนี้ขณะที่เกิดโรคระบาดหนักที่เป็นปัญหาไปทั่วโลก จากยอดขายวันแรก 0 บาท สู่รายได้ 200 ล้านบาทภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน

จุดเริ่มต้น

Cynthia Sakai นักออกแบบและผู้ก่อตั้ง บริษัทผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลระดับพรีเมียม evolvetogether ที่เธอรู้สึกอยากช่วยเหลือผู้คนในช่วงการระบาด จึงริเริ่มธุรกิจเสริมนี้ขึ้นขณะที่ยังคงบริหารบริษัทเครื่องประดับอยู่ แต่เพียงแค่ 6 เดือน ธุรกิจนี้ก็ประสบความสำเร็จมาก จนกลายเป็นธุรกิจหลักที่เธอต้องทุ่มเทให้กับงานนี้เต็มเวลา

แม้ว่าธุรกิจ evolvetogether จะเริ่มต้นจากการผลิตหน้ากากอนามัย แต่ปัจจุบันได้ขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย, ดูแลผิวหน้า รวมถึงสินค้าประเภท กระบอกน้ำ, กระเป๋าผ้า และอีกมากมาย 

เธอเล่าว่า ตอนที่ทำธุรกิจเสริมนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของโรคระบาดใหญ่ ซึ่งช่วงนั้นเธอมีงานประจำ คือเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องประดับ “Vita Fede” ก่อตั้งในปี 2009 ซึ่งได้ร่วมมือกับร้านค้าชั้นนำทั่วโลก เช่น Bergdorf Goodman, Lane Crawford และ Harvey Nichols ทำให้แบรนด์ได้รับความนิยมจากเหล่าเซเลบริตี้มากมาย

ซึ่งการเปลี่ยนแนวทางจากแบรนด์เครื่องประดับสู่หน้ากากอนามัยนั้น เป็นช่วงเวลาสำคัญในการพัฒนาแบรนด์ โดยวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างแบรนด์ที่มีความยั่งยืนในช่วงเวลาที่ผู้คนแตกแยก จึงเกิดเป็น แบรนด์ “evolve together” หรือที่แปลเป็นไทยว่าพัฒนาไปด้วยกันในช่วงเวลาที่น่ากลัว จึงเป็นที่มาของชื่อ evolvetogether

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความรู้ด้านเวชภัณฑ์ทางการแพทย์มากนัก แต่ก็ได้นำแนวคิดการออกแบบไปใช้กับหน้ากากอนามัย ไม่เพียงแต่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงเท่านั้น แต่ยังมีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย

หลังจากสร้างหน้ากากอนามัยเสร็จ เธอทราบดีว่า ต้องนำผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไปให้กับผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้น เธอจึงนำหน้ากากไปแจกจ่ายให้กับผู้คนบนถนนในนิวยอร์กซิตี้ 

หลังจากนั้นไม่นาน ไม่ว่าจะเดินไปไหน หรือเลื่อนฟีดดูอินสตาแกรม หรือแม้กระทั่งเปิดทีวี ก็จะเห็นหน้ากากอนามัยของเธอไปทั่ว ด้วยการบอกต่อกันแบบปากต่อปาก ทำให้ evolvetogether กลายเป็นแบรนด์ที่ได้ความไว้วางใจ อีกทั้งยังถือว่าเป็นแบรนด์ใจบุญท่ามกลางวิกฤตการณ์ด้านสุขภาพระดับโลก

ความท้าทายของแบรนด์ก็คงจะเป็น เรื่องของวิกฤตการณ์โรคระบาด 

“เราเจอทั้งปัญหาเรื่องการขนส่ง วัตถุดิบขาดแคลน โรงงานปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต ตลอดจนกฎหมายและข้อบังคับด้านความปลอดภัยใหม่ๆ” เธอกล่าว

แต่แล้วก็มีอุปสรรคใหม่ๆ มาให้เธอแก้ไม่เว้นวัน 

“ประสบการณ์นี้สอนให้ฉันอดทน ไม่มีเวลาให้ยอมแพ้ ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ฉันรู้ว่าเราต้องการหน้ากากอนามัยทางการแพทย์คุณภาพสูงสุด ไม่สามารถลดทอนประสิทธิภาพลงได้ ดังนั้น จึงทำให้มันสำเร็จ โฟกัสกับภาพรวมและความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งก็คือการสร้างแบรนด์ที่มอบสินค้าจำเป็นที่ลูกค้าไว้ใจ”

ในส่วนของรายได้ การเปิดตัวในช่วง 6 เดือนแรก บริษัทสามารถทำรายได้ เพิ่มขึ้นจาก $0 (0 บาท) เป็น $6 million หรือ 200 กว่าล้านบาท และเพิ่มเป็น $18 million หรือประมาณ 600 กว่าล้านบาทใน 1 ปี

เธอกล่าวต่ออีกว่า ความจริงแล้วเธออยากสร้างผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลมานานแล้ว เพราะรู้สึกว่าแบรนด์เครื่องประดับที่ทำอยู่นั้นถึงจุดอิ่มตัว และเมื่อผ่านไป 6 เดือน จึงตัดสินใจทุ่มเทกับการสร้าง evolvetogether อย่างเดียว และขยายไลน์สินค้าให้กว้างขึ้น นอกเหนือจากหน้ากากอนามัย

สิ่งที่เธอภูมิใจมากที่สุด นั่นคือ การที่ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้ชีวิตประจำวันที่สวยงาม มีประสิทธิภาพ และสิ่งที่ทางแบรนด์ให้ความสำคัญมากที่สุด นั่นคือ การดูแลโลกใบนี้ซึ่งกันและกัน

คำแนะนำสำหรับคนที่กำลังจะเริ่มทำธุรกิจ

“อย่างแรกคุณต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน และที่สำคัญ คุณต้องรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ จะช่วยให้คุณตัดสินใจ ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง แม้ว่าจะเจออุปสรรค จุดหมายที่แข็งแกร่งจะช่วยให้คุณไม่ยอมแพ้ และเดินหน้าต่อไปได้”

ที่มา : Entrepreneur